วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

อุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น

อุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น
อุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น
เดิมเป็นศูณย์ทดลองเพื่อการเกษตรในพระราชดำริของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร.9 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของโองการบริหารส่วนตำบลสายทอง ตั้งอยู่ในเขตติดต่ออ.มหาราชกับอ.ป่าโมก อยู่หลังพุทธอุทยานมหาราชหลวงปู่ทวด หากท่านแวะเที่ยวพุทธอุทธยานมหาราชหลวงปู่ทวดก็สามารถขับรถอ้อมมาทางด้านหลัง จะถึงอุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น
อุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น
พื้นที่ภายในจัดแสดงพันธุ์ไม้ในเขตร้อนนานาชนิดจัดตกแต่งใด้สวยงามมาก
แสดงพันธุ์ไม้เขตร้อน

ด้านในจัดแสดงพันธุ์ไม้เขตร้อนนานาชนิด
ด้านนอกมีสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนออกกำลังกาย
ขึ้นนั่งเซลฟี่ใด้จ้า

พื้นที่กว้างขวางเหมาะมาเป็นครอบครัว

เดินเล่นเพลินๆก็ไม่มีใครว่า

จัดพื้นที่พักผ่อนใด้สะอาดเป็นระเบียบและสวยงาม

พี่ช้างเด็กๆชอบ
ที่นี่เขามีจักรยานให้เช่ายืมปั่นรอบอุทยานนะครับไม่แพงแค่20บาทเอง
มีบริการเช่าจักรยานคันละ20บาทเอง

ถนนปั่นจักรยาน-วิ่ง-ออกกำลังกายกว้างมากๆ
เก็บภาพบรรยากาศยามเย็นมาฝาก
อ่างเก็บน้ำในพระราชดำริ

บรรยากาศยามเย็น ฟินเว่อร์
จุดประสงค์หลักของที่นี่คือสร้างอ่างกักเก็บน้ำใว้ให้เกษตรกรใช้ในการเกษตรช่วงฤดูแล้ง
ประตูระบายน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร

อ่างเก็บน้ำในพระราชดำริ
สำหรับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ต้องการมาเที่ยวอุทยานสวรรค์อ่างทองหนองเจ็ดเส้น สามารถเข้ามาใด้ทางพุทธอุทยานมหาราช(หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ติดสายเอเซีย)โดยขับรถอ้อมเข้าข้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ก็ถึงแล้วครับ
ขับรถอ้อมพุทธอุทยานมหาราช(วัดหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่)มาตามเส้นทางนี้ก็ถึงแล้วครับ

พุทธอุทธยานมาหราช หลวงปู่ทวด

พุทธอุทธยานมาหราช หลวงปู่ทวด

ตั้งอยู่ที่อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดถนนสายเอเซีย เส้นติดต่ออ่างทอง-พระนครศรีอยุธยา เป็นสถานที่พักผ่อนสักการะหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่จอดรถกว้างขวางและตลาดสินค้าพื้นบ้านประจำท้องถิ่นมากมายใว้ให้จับจ่ายกันอย่างเพลิดเพลิน
นมัสการหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่


พักผ่อนกับธรรมชาติสดชื่นพร้อมรับบุญ






ตลาดต้องชม ตลาดขายสินค้าพื้นบ้านทั้งของกินของใช้ของที่ระลึกมากมายให้จับจ่ายกันอย่างเพลิดเพลิน
ใครชอบของพื้นบ้านและตลาดแนวโบราณเชิญแวะเที่ยวที่นี่ใด้ทุกวันนะครับ

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เที่ยว วัดสุทธาวาสวิปัสนา

โบสถ์มหาอุต วัดสุทธาวาสวิปัสนา
วัดสุทธาวาสวิปัสนา ตั้งอยู่ที่ อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยมีท่านเจ้าอาวาสหรือสมภารวัดชื่อ หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย หรือที่รู้จักกันในนามหลวงพ่อรักษ์๓๐ทัศ
วัดสุทธาวาส วิปัสสนา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัด ๔๔ ไร่ โดยมีหลวงพ่อคล้าย เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้าง เดิมเรียกว่าวัดตะพังโคลน ตั้งอยู่ที่บ้านตะพังโคลน หมู่ ๔ ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๖ ก.ค. ๒๔๙๒
วัดสุทธาวาส วิปัสสนา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แห่งที่ ๑๓ ตามมติที่ประชุมมหาเถรสมาคม โดยสอนปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน ๔ โดยจะมีการจัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ ปูชนียวัตถุสำคัญของวัดได้แก่ “พระบรมสารีริกธาตุ” (ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ องค์) ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงประธานให้กับวัดเมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗
วัดสุทธาวาส วิปัสสนาเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลทุกวันอาทิตย์เวลา ๑๖.๐๙ น. และมีการสอนกรรมฐานปฏิบัติธรรมแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ ทุกเดือนตลอดทั้งปี
เจ้าอาวาส ปัจจุบัน พระสมุห์สมรักษ์ อนาลโย (หลวงพ่อรักษ์) 
พระพุทธมุณี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดสุทธาวาสวิปัสนา
 ที่วัดสุทธาวาสวิปัสนา มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่งดงามมาก ไม่แพ้วัดใดในโลก พระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามว่า พระพุทธมุณี ที่หลวงพ่อรักษ์ ท่านเคารพและบูชาเป็นอย่างยิ่ง
ประวัติหลวงพ่อรักษ์ อนาลโย
หลวง พ่อรักษ์ อนาลโย เกิดในสกุล จูนิยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2515 (ตรงกับขึ้น 12 ค่ำ เดือน 1) ปีชวด ที่บ้านเลขที่ 103/1 หมู่ที่ 4 ต.สองคลอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ครอบครัวประกอบอาชีพเลี้ยงปลาสลิด โยมบิดาชื่อ นายสำราญ จูนิยม โยมมารดาชื่อ นางนวล จูนิยม มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด จำนวน 3 คน
1. หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย
2. นายสาโรจน์ จูนิยม
3. นางศิรัตน์ จูนิยม
ชีวิตปฐมวัย หลวงพ่อรักษ์ ในช่วงวัยเด็กได้รับการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนจากบิดามารดา และญาติมิตรเป็นอย่างดีเช่นบุตรคนอื่นๆ ความเป็นอยู่สนุกสนานตามวัยเด็กทั่วไป มีสุขภาพแข็งแรง และชอบเข้าวัดทำบุญโดยจะไปกับคุณยายทุกวันพระ รวมทั้งยังมีอุปนิสัยชอบพูดคุยกับพระเณร ชอบศึกษาเขียนอักขระขอมและเลขยันต์ต่างๆ อยู่เนืองนิตย์ ท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียน หลวงพ่อปาน คลองด่านอนุสรณ์ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ สำเร็จการศึกษามัธยมปีที่ 3 เมื่ออายุ 19 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดแจ่มราษฎร์ศรัทธาธรรม จ.สมุทรปราการ โดยมี หลวงพ่อสะอาด (ศิษย์สาย หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย) เป็นพระอุปัฌาย์ ท่านได้ปฏิบัติรับใช้ หลวงพ่อสะอาด และศึกษาธรรมต่างๆ ทั้งรวมกรรมฐาน จากพระอุปัชฌาย์ ซึ่งต่อมาได้ลาสิกขามาช่วยโยมบิดามารดาประกอบอาชีพทางบ้าน
อุปสมบท หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย ได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2542 ณ พัทธสีมา วัดหลักชัย ต.หลักชัย อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี พระครูสิริธรรมทัต (หลวงพ่อสุมิตร) เจ้าอาวาสวัดหลักชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูโฆษิตวิหารคุณ วัดตรีพาราสีมาเขต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูเกษมปทุมรักษ์ วัดลาดปทุมคงคาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อนาลโย หมายถึง ผู้ไม่มีอาลัย เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดหลักชัย คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ จนกระทั่งพระอุปัชฌาย์มรณภาพลง ซึ่งระหว่างนั้นท่านก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน อยู่เนืองนิตย์ และสามารถศึกษาสอบนักธรรมชั้น ตรี - โท - เอก ได้อย่างเจนจบ และที่น่าอัศจรรย์ หลวงพ่อรักษ์ สามารถท่องจำพระปาฎิโมกข์ได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ท่านยังเป็นศิษย์วัดอยู่
อุปนิสัย
หลวงพ่อรักษ์ ท่านเป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย อุปนิสัยรักความสงบ ชอบปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งชอบศึกษากรรมฐาน และพระไตรปิฎก รวมทั้งไสยเวทย์ต่างๆ ปณิธานในเพศบรรชิต ท่านตั้งใจที่จะเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึงการสอนสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ให้แต่ศิษย์ยานุศิษย์ทั่วไป เพื่อเป็นหลักการดำรงชีวิต ให้ศิษย์มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกและทางธรรม
เกียรติประวัติ และสมณศักดิ์ฐานานุกรม
พ.ศ. 2542 สอบได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม พระภิกษุ-สามเณร)
พ.ศ. 2544 สอบได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2545 สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2545 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระสมุห์ ในฐานานุกรมของ พระครูสุภัทรกิตติ เจ้าอาวาสวัดลาดบัวหลวง เจ้าคณะอำเภอลาดบัวหลวง (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว)
พ.ศ. 2545 ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรพระกรรมฐานประจำจังหวัด รุ่นที่ 1 (กรมศาสนา) เป็นพระวิปัสสนาจารย์
พ.ศ. 2545 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ เจ้าคณะอำเภอลาดบัวหลวง (ปัจจุบันลาออกแล้ว)
พ.ศ. 2545 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรักษาการแทน เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส (เป็นพระกรรมวาจาจารย์)
พ.ศ. 2546 ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรพระกรรมฐานประจำจังหวัด รุ่นที่ 1 (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) เป็นพระวิปัสสนาจารย์
พ.ศ. 2547 รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดสุทธาวาส พัฒนาวัดได้รับแต่งตั้ง เป็นศูนย์อบรมคุณธรรมจริยธรรม พัฒนาวัดได้รับการแต่งตั้งเป็นหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
พ.ศ. 2549 พัฒนาวัดให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมสอบกรรมฐาน ได้รับแต่งตั้งจากมหาเถรสมาคม ให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แห่งที่ 13 โดยมี พระสมุห์สมรักษ์ อนาลโย (หลวงพ่อรักษ์) เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม
พ.ศ. 2552 ได้รับพิจารณาแต่งตั้ง ให้เป็นประธานจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2555 ได้รับแต่งตั้งเป็น  พระครูธรรมธร   ในฐานานุกรมของ พระเดชพระคุณ พระพรหมโมลี   วัดปากน้ำ  เจ้าคณะภาค ๕ 
พ.ศ. 2555 ได้รับถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์  สาขา วิชาวิปัสสนาภาวนา  จาก มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  อ.วังน้อย  จ.พระนครศรีอยุธยา 
ด้านการพิธีกรรมปลุกเสก สร้างพระเครื่อง และวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ
การสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ของ หลวงพ่อรักษ์ ท่านได้เริ่มสร้างเป็นพระผงขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อตอนท่านอายุ 30 ปี โดยท่านได้นำวิชาความรู้ต่างๆ ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา โดยเริ่มเขียนยันต์ ลงผงอิทธิเจ และผงยันต์ต่างๆ รวมทั้งหามวลสาร เช่น ผงเกษรดอกไม้บูชาพระ, ดอกไม้บูชาครูอาจารย์, ผงธูป, ผงพระเครื่องหักต่างๆ, ผงว่าน นำมาผสมทำวัตถุมงคล และทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกมวลสารเป็นปฐมฤกษ์ ก่อนปั้มพระ และเมื่อสร้างเป็นองค์พระเครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาปลุกเสกไตรมาสอีก 3 เดือน วัตถุมงคลของ หลวงพ่อรักษ์ มีหลายรูปแบบ พระสมเด็จ พระปิดตา พระกริ่ง กำไล ตะกรุด พญาหนุมาน พญาคชสีห์ กระทิง เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อหาทุนทรัพย์สร้างและพัฒนาวัดสุทธาวาส วิปัสสนา เป็นลำดับ
หลวงพ่อรักษ์ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของตะกรุดจารมือรุ่นต่างๆ สำหรับ ตะกรุดที่โดดเด่นมีประสบการณ์สูงของท่าน คือ "ตะกรุดมหาบารมี ๓๐ ทัศ" ซึ่งศิษยานุศิษย์และสาธุชนต่างขนานนามท่านว่า "หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย เจ้าตำหรับตะกรุดมหาบารมี ๓๐ ทัศ แห่งทุ่งลาดบัวหลวง เมืองกรุงศรีอยุธยา"
วัตถุมงคลของ หลวงพ่อรักษ์ นั้นส่วนมากท่านมักจะปลุกเสกของท่านด้วยพุทธาคมที่ท่านร่ำเรียนมาอย่างเต็ม พลัง หลักการอธิษฐานจิตของท่านนั้นจะเน้นไปทาง เมตตามหาเสน่ห์ - โชคลาภ เงินทอง - ความสำเร็จ - กันคุณไสยต่างๆ และด้านแคล้วคลาดกันภัยคงกระพัน เป็นเลิศ
การทำวัตถุมงคลของ หลวงพ่อรักษ์ นั้น ท่านมีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัย 4 ประการสำคัญคือ
     1. ดูที่เจตนา ถ้าวัตถุประสงค์ดี วัตถุมงคลจึงจะดี
     2. พิธีกรรม ถูกต้องตามโบราณกาลหรือไม่
     3. มวลสารดี
     4. ดูฤกษ์ผานาทีว่าเหมาะสมหรือไม่
หลวงพ่อรักษ์ ท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวย้ำเสมอว่า... การทำวัตถุมงคลต้องตั้งใจทำ ให้ผู้นำไปใช้ได้รับพุทธคุณครอบจักรวาล... วัตถุมงคลทำไว้มอบให้กับญาติโยมที่บริจาคสมทบทุนสร้างวัด ไม่ได้ทำเพื่อซื้อขาย เป็นที่ระลึกว่าใครได้ไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างถาวรวัตถุ ถวายไว้ในพระพุทธศาสนามาเท่านั้น
ด้านการอบรมธรรมมะ สอนสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อรักษ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้พัฒนาวัดสุทธาวาสจากเดิมที่เป็นวัดธรรมดาทั่วไป จนเป็นที่รู้จักแก่สาธุชน ว่า "วัดสุทธาวาส วิปัสสนา" เป็นสำนักปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แห่งที่ 13 (วัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมนี้ มีดีกรีเทียบเท่ากับพระอารามหลวงชั้นตรี)
ผลงานและสิ่งที่ หลวงพ่อรักษ์ ตั้งใจทำมาตลอดคือ งานด้านการเผยแผ่หลักธรรม คำสอนขององค์ สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ในรูปแบบของการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ท่านได้เข้ามาอยู่วัดแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการปฏิบัติธรรมจะจัดขึ้นทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สุดท้ายของสิ้นเดือน ตลอดทั้งปี โดยมี หลวงพ่อรักษ์ เป็นเจ้าสำนัก และสอนกรรมฐาน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังแสดงถึงการที่หลวงพ่อเมตตาหวังดีต่อศิษยานุศิษย์และสาธุชน ที่หวังให้ลูกศิษย์ทุกคนมีศีล สมาธิ ปัญญาที่ดี และยังมีสุคติเป็นที่ไป อีกทั้งมีความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาตลอดไป
พระเดชพระคุณหลวงพ่อรักษ์ อนาลโย(หลวงพ่อรักษ์๓๐ทัศ)เจ้าอาวาส(สมภาร)วัดสุทธาวาสวิปัสนา

บรรยากาสและความร่มรื่นของวัดสุทธาวาสวิปัสนา
 พื้นที่และบรรยากาศของวัดสุทธาวาสวิปัสนา เต็มไปด้วยความสงบและร่มรื่นเหมาะแก่การถือศีลบำเพ็ญบุญตามหลักปฏิบัติธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้นไม้นานาพันธุ์
 ที่วัดยังเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์และบางชนิดหายากมาก เหมาะแก่การศึกษาและเรียนรู้ หรือเพื่อการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาทั่วไป โดยที่ท่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น
 ในด้านวัตถุมงคล พระเดชพระคุณหลวงพ่อรักษ์ อนาลโย ท่านใด้สร้างใว้หลายรุ่นหลายแบบเพื่อแจกจ่ายและให้บูชากันตามความชอบความพอใจ เพื่อนำปัจจัยมาสร้างศาสนะสถานวัดสุทธาวาสวิปัสนา ในปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านเริ่มมีประสบการณ์อย่างมากมายทั้งในและต่างประเทศ หลายคนเริ่มเสาะแสวงหาและเก็บบูชาสะสมกันมากมายทั้งรุ่นเก่าและใหม่
ตะกรุดมหาบารมีสามสิบทัศ
 ท่านใดที่ฝากตัวเป็นศิษย์ จะใด้รับตะกรุดมหาบารมี๓๐ทัศท่านละ1ดอกโดยท่านจะต้องเก็บใว้เฉพาะบุคคลห้ามขายห้ามให้หรือเปลี่ยนกับใครเด็ดขาด ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด

 สำหรับเส้นทางเข้าวัดอาจจะลำบากสักนิด ดังคำที่ว่า "วัดสุทธาวาสวิปัสนา เดินทางลำบาก แต่ใด้บุญเยอะ"

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เที่ยวอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย จ.ลำพูน

 ผมมีโอกาศใด้เดินทางขึ้นภาคเหนือเมื่อวันที่6มิถุนายน2556 เพื่อร่วมพิธีฌาปณกิจศพลุงของผมเอง ขากลับก่อนเดินทางขึ้นภูเขาเถิน ใด้ผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผมเห็นแล้วต้องเลี้ยวรถแวะเข้าไปเยี่ยมชมทันที นั่นคืออนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย (ศีลธรรมเจ้า) รายละเอียดของที่นี่ผมไม่ทราบมากนักเพราะพระที่นั่นท่านพูดภาษากลางไม่ค่อยใด้ก็เลยไม่รู้เรื่องกัน เอาเป็นว่าที่แห่งนี้สร้างโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัยครับรู้แค่นี้จริงๆ ใด้แค่ถ่ายภาพสวยๆมาฝาก
ทางขึ้นนมัสการพระเจดีย์ครูบาศรีวิช้ย
อุโบสถที่สวยงามมากครับ
พระเจดีย์ครูบาศรีวิช้ย
ผมพยายามที่จะถ่ายภาพรูปปั้นองค์ครูบาศรีวิชัยมาให้ทุกท่านใด้ชมกันแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะถ่ายเท่าไหร่ก็ถ่ายไม่ติด รวมทั้งคณะที่ไปด้วยกันก็ถ่ายภาพไม่ติดเหมือนกัน ก้เลยพากันกราบขอขมาแล้วก็เดินทางกลับบ้านภาคกลางกันต่อไป
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างสามจังหวัดภาคเหนือ คือ จ.ลำปาง จ.ลำพูนและจ. ตาก ขาไปจากกรุงเทพจะอยู่ตรงจุดลงเขาพอดี มองทางขวามือถ้าถึงตรงนี้ก็แสดงว่าเราลงถึงตีนเขาแล้วกำลังจะเข้าอ.ลี้จังหวัดลำพูน หากใครมีโอกาศเดินทางขึ้นเหนือแล้วใช้เส้นทางอ.เถินก็อย่าลืมแวะเข้าไปนมัสการรูปปั้นครูบาเจ้าศรีวิชัยพระอรหรรย์แห่งล้านนากันนะครับ
โพสต์หน้าเราจะมาชมการเผาศพแบบชาวเหนือกันครับ   สวัสดี

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยววัดโล่ห์ สุทธาวาส อ.เมือง จ.อ่างทอง

เมื่อคราวที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ โต ได้สร้างพระประธานองค์ใหญ่ คือ พระพุทธพิมพ์ ที่วัดไชโยวรวิหาร คหบดีคนหนึ่งของ จ.อ่างทอง ชื่อ "โล่ห์" เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา และในเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต (พฺรหฺมรํสี) เป็นอย่างมาก มีความประสงค์ที่ จะสร้างวัดขึ้นในที่ดินของตนเอง ซึ่งมีอยู่หลายแห่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างตรงตำแหน่งใดถึงจะเหมาะสมดี เศรษฐี โล่ห์ จึงเดินทางไปกราบนมัสการขอคำแนะนำ จากเจ้าประคุณสมเด็จฯ โต เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทราบเจตนาอันเป็นมหากุศลแล้ว ก็ได้เมตตาหาตำแหน่งและ ฤกษ์ยามในการสร้างวัดนี้ขึ้น โดยวิธีการนั่ง จับยามสามตา ภายหลังเมื่อดำเนินการสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีโล่ห์ จึงได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ โต มาเทศนา และเททองหล่อรูปเหมือนของท่านในอิริยาบถนั่ง จับยามสามตา ในวันฉลองวิสุงคามสีมา นั่นเอง นี่จึงเป็นที่มา ของวัดโล่ห์ นี่เอง
รูปหล่อที่สร้างสมัยสมเด็จพุฒธาจารย์โตพรหมรังษี
เมื่อมาถึงวัดโล่ห์สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเข้าไปกราบรูปหล่อขององค์สมเด็จพุฒธาจารย์โตพรหมรังษี ที่สร้างขึ้นในสมัยของท่าน ขอบอกว่า ศักดิ์สิทมาก
อ่างน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิท

หน้ารูปหล่อขององค์สมเด็จ ยังมีอ่างน้ำพระพุทธมนต์ซึ่งทางวัดอนุญาตให้ผู้ที่เข้านมัสการรูปหล่อขององค์สมเด็จสามารถนำกลับบ้านใด้ท่านละหนึ่งขวด สามารถนำมาดื่มกินใด้ครับ เพราะทางวัดบรรจุขวดใว้อย่างดี รับรองครับว่าปลอดภัยสะอาดแน่นอน วัดแห่งนี้เคยใด้รับการอุปการะจาก หลวงปู่ทิมแห่งวัดพระขาว อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดังนั้นที่วัดจึงมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม วัดพระขาวไว้ให้ทุกท่านใด้บูชากันในราคาที่ไม่แพงมากนักเริ่มตั้งแต่หลักสิบขึ้นไปครับ นอกจากวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมแล้วยังมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อยิดวัดหนองจอก จังหวัดประจวบ แต่เหลือน้อยแล้วนะ ที่วัดยังมีพระผงสมเด็จพิมพ์ต่างๆที่สร้างขึ้นตามสูตรโบราณทุกประการ
พระผงสมเด็จสูตรโบราณ
พระผงสมเด็จพิมพ์ต่างๆที่วัดจัดสร้างขึ้นอย่างเข้มขลังและถูกต้องตามสูตรทุกประการตั้งแต่ผงมวลสารการผสมการโขลกการกดพิมพ์ทีละองค์ด้วยมือพระลูกวัดด้วยความปราณีตทุกขั้นตอน

พระบรมสาลีริกธาตุ
ชั้นล่างของพระอุโบสถประดิษฐานพระบรมสาลีริกธาตุเพื่อให้สาธุชนทั้งหลายเข้ากราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคล ยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจที่ผมนำมาเสนอนี้เป็นบางส่วนเท่านั้น ท่านสามารถมาเที่ยวหรือมาทำบุญใด้ด้วยตนเองครับ วัดอยู่ด้านหลังตลาดอ่างทอง เดินทางสะดวกครับ








วันนี้ต้องลากันแค่นี้ก่อนครับโอกาศหน้าพบกันวัดต่อไป ขอบคุณครับ
เอ๋ สายทอง

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยววัด ป่าโมกวรวิหาร อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก
ผมคิดว่าหลายท่านเคยเห็นและเคยนมัสกาลพระพุทธไสยาสน์ของวัดต่างๆมาแล้วบ้างไม่มากก็น้อย และผมก็แน่ใจว่าหลายท่านต้องไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหนที่มีพระพักต์งดงามเหมือนองค์พระพุทธไสยาสน์ของวัดป่าโมกวรวิหารแห่งนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
วัดป่าโมกเป็นวัดหลวงอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีประวัติความเป็นมาดังนี้ครับ
วัดป่าโมกวรวิหาร อยู่ในเขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันตกห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองไป ๑๘ กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๓๐๙ สายอ่างทอง-อยุธยา กิโลเมตรที่ ๔๐ แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒๙ จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๕๐๑ จะเห็นป้ายทางไปวัดป่าโมก ภายในวัดแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของเมืองไทย องค์พระก่ออิฐถือปูนปิดทอง มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท ๒๒.๕๘ เมตร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาเล่าขานกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด ราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก่อนที่จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ ต่อมากระแสน้ำเซาะเข้ามาใกล้พระวิหาร “ สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กองงาน จัดการชะลอลากให้ห่างจากแม่น้ำเดิม ” (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)ได้เสด็จมาควบคุมการชะลอองค์พระให้พ้น จากกระแสน้ำเซาะตลิ่งพังและนำไปไว้ยังวิหารใหม่ที่วัดตลาดห่างจากฝั่งแม่น้ำ ๑๖๘ เมตร แล้วโปรดให้รวมวัดตลาดกับวัดชีปะขาวเป็นวัดเดียวกัน พระราชทานนามว่าวัดป่าโมกเพราะบริเวณนั้นมีต้นโมกมากมาย สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้นอกจากพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมี วิหารพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร สร้างในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย วิหารก่ออิฐถือปูนเครื่องบนไม้หลังคา ฐานอ่อนโค้งสำเภา สำหรับ วิหารเขียน เล่ากันว่า ผนังวิหารด้านที่หันออกสู่แม่น้ำมีแท่นสูงเข้าใจว่าเป็นแท่นที่เคยมี กษัตริย์เสด็จประทับยืนบริเวณนั้น 
วิหารที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์
 
ศาลเจ้าแม่มะขามและเจ้าพ่อขนมต้ม

 นอกจากวิหารพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมีศาลเจ้าแม่มะขามและเจ้าพ่อขนมต้มซึ่งทั้งสองคือบรรพบุรุษของชาวป่าโมกที่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์จนโด่งดังกันทั้งประเทศ เปิดให้ทุกท่านเข้าไปกราบใหว้ขอพรหรือบนบาลกันใด้ทุกวัน
 ด้านหน้าวัดยังมีแพปลาสำหรับนั่งเล่นและให้อาหารปลาริมแม่น้ำเจ้าพระยานั่งคุยกันไปให้อาหารปลาไปลมก็เย็นสะบายชมวิวริมแม่น้ำบรรยากาศแบบชนบทเพลินดีนะครับ
ที่วัดแห่งนี้มีการจัดงานแข่งรือกันทุกปีขาดทุนบ้างได้กำไรนิดหน่อยบ้างท่านเจ้าอาวาสก็ยังคงเดินหน้าจัดงานแบบนี้ทุกปีต่อไปเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเภณีดั้งเดิมเอาใว้ให้ถึงที่สุดครับ
ยังไงก็ขอเชิญชวนทุกท่านแวะมานมัสการองค์พระพุทธไสยาสน์ที่งามที่สุดในประเทศไทยก็ว่าใด้ แล้วอย่าลืมมาเที่ยวงานแข่งเรือยาวที่ทางวัดจัดขึ้นทุกปีกันนะครับ คิดว่าช่วยทางวัดครับ   
                                                                                                                          สวัสดี