วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เที่ยวอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย จ.ลำพูน

 ผมมีโอกาศใด้เดินทางขึ้นภาคเหนือเมื่อวันที่6มิถุนายน2556 เพื่อร่วมพิธีฌาปณกิจศพลุงของผมเอง ขากลับก่อนเดินทางขึ้นภูเขาเถิน ใด้ผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผมเห็นแล้วต้องเลี้ยวรถแวะเข้าไปเยี่ยมชมทันที นั่นคืออนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย (ศีลธรรมเจ้า) รายละเอียดของที่นี่ผมไม่ทราบมากนักเพราะพระที่นั่นท่านพูดภาษากลางไม่ค่อยใด้ก็เลยไม่รู้เรื่องกัน เอาเป็นว่าที่แห่งนี้สร้างโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัยครับรู้แค่นี้จริงๆ ใด้แค่ถ่ายภาพสวยๆมาฝาก
ทางขึ้นนมัสการพระเจดีย์ครูบาศรีวิช้ย
อุโบสถที่สวยงามมากครับ
พระเจดีย์ครูบาศรีวิช้ย
ผมพยายามที่จะถ่ายภาพรูปปั้นองค์ครูบาศรีวิชัยมาให้ทุกท่านใด้ชมกันแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะถ่ายเท่าไหร่ก็ถ่ายไม่ติด รวมทั้งคณะที่ไปด้วยกันก็ถ่ายภาพไม่ติดเหมือนกัน ก้เลยพากันกราบขอขมาแล้วก็เดินทางกลับบ้านภาคกลางกันต่อไป
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างสามจังหวัดภาคเหนือ คือ จ.ลำปาง จ.ลำพูนและจ. ตาก ขาไปจากกรุงเทพจะอยู่ตรงจุดลงเขาพอดี มองทางขวามือถ้าถึงตรงนี้ก็แสดงว่าเราลงถึงตีนเขาแล้วกำลังจะเข้าอ.ลี้จังหวัดลำพูน หากใครมีโอกาศเดินทางขึ้นเหนือแล้วใช้เส้นทางอ.เถินก็อย่าลืมแวะเข้าไปนมัสการรูปปั้นครูบาเจ้าศรีวิชัยพระอรหรรย์แห่งล้านนากันนะครับ
โพสต์หน้าเราจะมาชมการเผาศพแบบชาวเหนือกันครับ   สวัสดี

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยววัดโล่ห์ สุทธาวาส อ.เมือง จ.อ่างทอง

เมื่อคราวที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ โต ได้สร้างพระประธานองค์ใหญ่ คือ พระพุทธพิมพ์ ที่วัดไชโยวรวิหาร คหบดีคนหนึ่งของ จ.อ่างทอง ชื่อ "โล่ห์" เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา และในเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต (พฺรหฺมรํสี) เป็นอย่างมาก มีความประสงค์ที่ จะสร้างวัดขึ้นในที่ดินของตนเอง ซึ่งมีอยู่หลายแห่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างตรงตำแหน่งใดถึงจะเหมาะสมดี เศรษฐี โล่ห์ จึงเดินทางไปกราบนมัสการขอคำแนะนำ จากเจ้าประคุณสมเด็จฯ โต เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทราบเจตนาอันเป็นมหากุศลแล้ว ก็ได้เมตตาหาตำแหน่งและ ฤกษ์ยามในการสร้างวัดนี้ขึ้น โดยวิธีการนั่ง จับยามสามตา ภายหลังเมื่อดำเนินการสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีโล่ห์ จึงได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ โต มาเทศนา และเททองหล่อรูปเหมือนของท่านในอิริยาบถนั่ง จับยามสามตา ในวันฉลองวิสุงคามสีมา นั่นเอง นี่จึงเป็นที่มา ของวัดโล่ห์ นี่เอง
รูปหล่อที่สร้างสมัยสมเด็จพุฒธาจารย์โตพรหมรังษี
เมื่อมาถึงวัดโล่ห์สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเข้าไปกราบรูปหล่อขององค์สมเด็จพุฒธาจารย์โตพรหมรังษี ที่สร้างขึ้นในสมัยของท่าน ขอบอกว่า ศักดิ์สิทมาก
อ่างน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิท

หน้ารูปหล่อขององค์สมเด็จ ยังมีอ่างน้ำพระพุทธมนต์ซึ่งทางวัดอนุญาตให้ผู้ที่เข้านมัสการรูปหล่อขององค์สมเด็จสามารถนำกลับบ้านใด้ท่านละหนึ่งขวด สามารถนำมาดื่มกินใด้ครับ เพราะทางวัดบรรจุขวดใว้อย่างดี รับรองครับว่าปลอดภัยสะอาดแน่นอน วัดแห่งนี้เคยใด้รับการอุปการะจาก หลวงปู่ทิมแห่งวัดพระขาว อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดังนั้นที่วัดจึงมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม วัดพระขาวไว้ให้ทุกท่านใด้บูชากันในราคาที่ไม่แพงมากนักเริ่มตั้งแต่หลักสิบขึ้นไปครับ นอกจากวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมแล้วยังมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อยิดวัดหนองจอก จังหวัดประจวบ แต่เหลือน้อยแล้วนะ ที่วัดยังมีพระผงสมเด็จพิมพ์ต่างๆที่สร้างขึ้นตามสูตรโบราณทุกประการ
พระผงสมเด็จสูตรโบราณ
พระผงสมเด็จพิมพ์ต่างๆที่วัดจัดสร้างขึ้นอย่างเข้มขลังและถูกต้องตามสูตรทุกประการตั้งแต่ผงมวลสารการผสมการโขลกการกดพิมพ์ทีละองค์ด้วยมือพระลูกวัดด้วยความปราณีตทุกขั้นตอน

พระบรมสาลีริกธาตุ
ชั้นล่างของพระอุโบสถประดิษฐานพระบรมสาลีริกธาตุเพื่อให้สาธุชนทั้งหลายเข้ากราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคล ยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจที่ผมนำมาเสนอนี้เป็นบางส่วนเท่านั้น ท่านสามารถมาเที่ยวหรือมาทำบุญใด้ด้วยตนเองครับ วัดอยู่ด้านหลังตลาดอ่างทอง เดินทางสะดวกครับ








วันนี้ต้องลากันแค่นี้ก่อนครับโอกาศหน้าพบกันวัดต่อไป ขอบคุณครับ
เอ๋ สายทอง

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยววัด ป่าโมกวรวิหาร อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก
ผมคิดว่าหลายท่านเคยเห็นและเคยนมัสกาลพระพุทธไสยาสน์ของวัดต่างๆมาแล้วบ้างไม่มากก็น้อย และผมก็แน่ใจว่าหลายท่านต้องไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหนที่มีพระพักต์งดงามเหมือนองค์พระพุทธไสยาสน์ของวัดป่าโมกวรวิหารแห่งนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
วัดป่าโมกเป็นวัดหลวงอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีประวัติความเป็นมาดังนี้ครับ
วัดป่าโมกวรวิหาร อยู่ในเขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันตกห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองไป ๑๘ กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๓๐๙ สายอ่างทอง-อยุธยา กิโลเมตรที่ ๔๐ แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒๙ จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๕๐๑ จะเห็นป้ายทางไปวัดป่าโมก ภายในวัดแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของเมืองไทย องค์พระก่ออิฐถือปูนปิดทอง มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท ๒๒.๕๘ เมตร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาเล่าขานกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด ราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก่อนที่จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ ต่อมากระแสน้ำเซาะเข้ามาใกล้พระวิหาร “ สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กองงาน จัดการชะลอลากให้ห่างจากแม่น้ำเดิม ” (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)ได้เสด็จมาควบคุมการชะลอองค์พระให้พ้น จากกระแสน้ำเซาะตลิ่งพังและนำไปไว้ยังวิหารใหม่ที่วัดตลาดห่างจากฝั่งแม่น้ำ ๑๖๘ เมตร แล้วโปรดให้รวมวัดตลาดกับวัดชีปะขาวเป็นวัดเดียวกัน พระราชทานนามว่าวัดป่าโมกเพราะบริเวณนั้นมีต้นโมกมากมาย สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้นอกจากพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมี วิหารพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร สร้างในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย วิหารก่ออิฐถือปูนเครื่องบนไม้หลังคา ฐานอ่อนโค้งสำเภา สำหรับ วิหารเขียน เล่ากันว่า ผนังวิหารด้านที่หันออกสู่แม่น้ำมีแท่นสูงเข้าใจว่าเป็นแท่นที่เคยมี กษัตริย์เสด็จประทับยืนบริเวณนั้น 
วิหารที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์
 
ศาลเจ้าแม่มะขามและเจ้าพ่อขนมต้ม

 นอกจากวิหารพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมีศาลเจ้าแม่มะขามและเจ้าพ่อขนมต้มซึ่งทั้งสองคือบรรพบุรุษของชาวป่าโมกที่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์จนโด่งดังกันทั้งประเทศ เปิดให้ทุกท่านเข้าไปกราบใหว้ขอพรหรือบนบาลกันใด้ทุกวัน
 ด้านหน้าวัดยังมีแพปลาสำหรับนั่งเล่นและให้อาหารปลาริมแม่น้ำเจ้าพระยานั่งคุยกันไปให้อาหารปลาไปลมก็เย็นสะบายชมวิวริมแม่น้ำบรรยากาศแบบชนบทเพลินดีนะครับ
ที่วัดแห่งนี้มีการจัดงานแข่งรือกันทุกปีขาดทุนบ้างได้กำไรนิดหน่อยบ้างท่านเจ้าอาวาสก็ยังคงเดินหน้าจัดงานแบบนี้ทุกปีต่อไปเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเภณีดั้งเดิมเอาใว้ให้ถึงที่สุดครับ
ยังไงก็ขอเชิญชวนทุกท่านแวะมานมัสการองค์พระพุทธไสยาสน์ที่งามที่สุดในประเทศไทยก็ว่าใด้ แล้วอย่าลืมมาเที่ยวงานแข่งเรือยาวที่ทางวัดจัดขึ้นทุกปีกันนะครับ คิดว่าช่วยทางวัดครับ   
                                                                                                                          สวัสดี

เที่ยววัดขุนอิทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง

                                   วัดขุนอินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
 วันนี้ผมจะพาไปเที่ยววัดขุนอินทประมูล 
วัดขุนอินทประมูลหรือที่ชาวบ้านแถบโพธิ์ทองเรียกกันติดปากว่า วัดขุนอินท์ วัดนี้มีความแปลกตรงทีไม่สามารถสร้างวิหารคล่อมองค์หลวงพ่อโตใด้เนื่องจากทุกครั้งที่สร้างมักเกิดฟ้าผ่าหรือมีเหตุให้ต้องรื้อทิ้งเสมอไป วัดขุนอินท์มีประวัติมาช้านาน ดังนี้
ขุนอินทประมูล ได้ยักยอกเงินหลวงมาสร้าง ครั้งถูกสอบถามว่าเอาเงินจากใหนมาสร้างพระ ขุนอินทประมูลก็ไม่ยอมบอกความจริง จึงถูกลงโทษจนตาย คงมีความเชื่อที่ว่า ถ้าบอกแหล่งที่มาของเงินแล้ว ตนจะไม่ได้กุศลตามที่ปรารถนา

จากการสันนิฐานมีความเห็นว่าได้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพักตรหันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตลอดทั้งองค์มีความสง่างามมาก พระพักตรงดงามได้สัดส่วน แสดงออกถึงความมีเมตตา

ปัจจุบัน องค์พระนอนอยู่กลางแจ้งไม่มีวิหารคลุมเช่นพระนอนองค์อื่น เนื่องจากวิหารเดิมคงหักพังไปนานแล้ว ดังจะเห็นได้จาก เสาพระวิหารที่ยังปรากฏอยู่รอบองค์พระนอน รอบ ๆ องค์พระมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นขึ้นอยู่โดยรอบ ทำให้มีความสงบร่มเย็น เหมาะแก่การไปนมัสการให้เกิดความสุข สงบ ตามธรรมชาติ ซึ่งแปลกออกไปจากบรรยากาศในพระวิหาร

โบสถ์วัดขุนอิทประมูล
 ในภาพคือโบสถ์วัดขุนอินทประมูลที่ใช้งบประมาณการก่อสร้างถึง100ล้านบาทด้านในเป็นภาพเขียนเกี่ยวกับพระเวสสันดรชาดกงดงามมากจริงๆ
ภาพเขียนบนผืนผ้าใบบางส่วน
 ภาพนี้เป็นภาพเขียนมือบนผืนผ้าใบบางส่วนเท่านั้น ครับ อยากเห็นทุกส่วนทุกภาพต้องเดินทางไปเที่ยวกันครับที่วัดขุนอินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
การเดินทางอาจจะลำบากนิดหน่อยเพราะวัดนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งนา แต่มาไม่ยากครับ ด้านหน้าวัดก็มีของขายพอประมาณให้พอใด้เลือกหากัน 
เอาล่ะครับวันนี้พักแค่นี้ก่อนเดินเหนื่อยแล้วพักก่อนครับ  แล้วเจอกันวัดต่อไป     สวัสดี

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยววัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง

เที่ยววัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง

วัดม่วง เป็นวัด ที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีตสมัยที่ผมยังเด็กแม่เคยพาไปเที่ยว สมัยนั้นยังไม่มีการสร้างหลวงพ่อโตองค์ไหญ่ ที่ท่านเห็นในรูปนี้ มีแต่เพียงบรรดารูปป้ันเปรตนรกทั้งหลายให้ได้ชมกัน อดีตเจ้าอาวาสสมัยนั้น คือหลวงพ่อเกษม ท่านเป็นพระระดับเกจิอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ต่อมาท่านใด้สร้างถวรวัตถุใว้มากมายทั้งวิหารแก้ว จนถึงหลวงพ่อโตองค์ไหญ่ที่สุดในโลก แต่ท่านไม่สามรถสร้างให้สำเร็จลงใด้ในสมัยของท่านเนื่องจากท่านมรณะภาพไปเสียก่อนท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันจึงสานต่อเจตนาอันยิ่งไหญ่ของท่านจนเป็นผลสำเร็จส่วนสังขารของหลวงพ่อเกษมนั้นไม่เน่าเปื่อยทางวัดใด้ใส่ในโรงแก้วตั้งบนวิหารแก้วจนทุกวันนี้
วิหารแก้วที่สร้างจากกระจกทั้งหลัง
วิหารแก้วนี้สร้างจากกระจกทั้งหลังไม่ว่าท่านจะหันไปทางใหนก็จะเห็นเงาของตัวท่านเองซึ่งก็หมายถึงกระจกที่สะท้อนถึงตัวเราเองไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำเลวมันย่อมสะท้อนกลับมาหาตัวเราเสมอเหมือนดั่งกระจกเงานั่นเอง
สังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อเกษม
สังขารของหลวงพ่อเกษมถูกตั้งใว้ในวิหารแก้วใครไปเที่ยววัดม่วงอย่าลืมขึ้นไปกราบสังขารของหลวงพ่อนะครับ
แตะที่ปลายนิ้วหลวงพ่อเพื่อขอพร
ส่วนมากนักท่องเที่ยวมักขึ้นไปแตะที่ปลายนิ้วของหลวงพ่อโตเพื่อขอพรต่างๆตามแต่ที่จะขอกัน
ด้านหน้าวัดยังมีของขายอีกเพียบสวยๆทั้งนั้นรวมทั้งหมวกที่ผมสวมนี่ด้วย มีหลากหลายครับเชิญมาเที่ยวกันได้ เที่ยววัดเถอะครับใด้บุญใด้ความสุขทางใจใด้วัตถุมงคลมาคุ้มครอง ที่สำคัญคือสะบายใจ
วันนี้แค่นี้ก่อน วันหน้าวัดอะไรมาติดตามกันครับ